องค์กรเครือข่ายผู้บริโภคแสดงจุดยืน ยื่น 4 ข้อเสนอให้รักษาการ กสทช.ให้เดินหน้าคุ้มครองผู้บริโภคต่อ ด้าน สบท.ระบุยังทำงานต่อถึงแม้พ.ร.บ.ใหม่บังคับใช้ สนับสนุนตั้งหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคกล้องวงจรปิดหน่วยงานเดียวดีกว่า เพียงแต่ต้องเพิ่มผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพเข้าดูแลกิจการวิทยุโทรทัศน์d
นายสวัสดิ์ คำฟู ตัวแทนองค์กรเครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศ กล่าวว่า หลังจากพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุ กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้สถานภาพของสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สกทช.) หมดสภาพลง และต้องปรับเปลี่ยนเป็นสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติแทน แต่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ยังคงมีหน้าที่รักษาการแทน กสทช. ไปก่อนจนกว่าจะมีการสรรหา กสทช. ซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน
ด้วยอำนาจหน้าที่ของ กสทช. ตามมาตรา 31 กำหนดให้ กสทช. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 2 คณะทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ และคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมนั้น ทาง องค์กรเครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศ ขอยื่นข้อเสนอมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคต่อรักษาการประธาน กสทช. ให้ช่วยดำเนินการตามข้อเสอนดังต่อไปนี้ ข้อแรก เร่งให้มีการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์อย่างเร่งด่วน โดยให้คงบทบาทการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมของสถาบันคุ้มครองผู้ บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ต่อไป ข้อที่สอง เร่งออกมาตรการคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพของบุคคล อาทิ กรณีการส่งเอสเอ็มเอสรบกวน การขายสินค้าผ่านโทรศัพท์ รวมถึงกำหนดมาตรการโอนย้ายเลขหมายโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ข้อที่สาม เร่งดำเนินการให้ผู้ประกอบการที่ไม่กำหนดวันหมดอายุของบัตรเติมเงินตาม ประกาศ กทช. เรื่องมาตรฐานของสัญญาการให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 และให้มีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการคืนเงินที่ยึดจากผู้บริโภคเนื่องจาก การกำหนดวันหมดอายุบัตรเติมเงิน และข้อที่สี่ ขอให้มีการดำเนินการทำตามแผนแม่บทการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ให้มีความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อให้กสทช.ชุดใหม่สามารถปฎิบัติหน้าที่ได้เร็วยิ่งขึ้น
ทางด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง กรรมการ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า ตลอด 3 ปีที่มีสบท. ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมของที่กทช.ที่ร่วมมือกับองค์กรผู้บริโภคที่มีความอิสระ ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นจากภาคธุรกิจหรือแม้กระทั่งกทช.เอง สามารถเข้ามาช่วยคุ้มครองผู้บริโภคจากการใช้บริการในกิจการโทรคมนาคมได้ หลายๆ ปัญหา
"จากวันที่ไม่มีสบท. มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาเพียง 16 เรื่องต่อปี แต่หลังจากที่มีสบท.จำนวนเรื่องร้องเรียนในกิจการโทรคมนาคมในปี 2553 นี้มีถึง 5,000 ราย"
ขณะที่นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการ สบท. กล่าวว่า ได้รับการยืนยันคำตอบว่าสบท.ยังดำเนินการอยู่ ไม่ได้ล้มไปหลังจากที่มีการประกาศใช้พรบ.ฉบับใหม่แต่ประการใด โดยยังคงทำงานตามภารกิจเดิมทุกประการ ในระหว่างที่ยังไม่มีการตั้งอนุกรรมการตามมาตรา 31 ออกมา สบท.สามารถยื่นเรื่องต่อกสทช.ได้โดยตรง แต่ถ้ามีอนุกรรมการเมื่อใดสบท.ก็จะยื่นเรื่องผ่านทางอนุกรรมการแทน
"วันนี้ ผมได้รับการยืนยันว่าสามารถลงนามในหนังสือต่างๆ ในนามรักษาการปฏิบัติการหน้าที่แทนเลขาธิการ กสทช. นั้นแสดงให้เห็นว่า สบท.ยังคงอยู่ ไม่ได้หมดวาระตามที่หลายคนตีความ ซึ่งกฎหมายใหม่ไม่ได้คุ้มครองผู้บริโภคน้อยลง แต่กลับมากยิ่งขึ้นกว่ากฎหมายฉบับเก่าเสียอีก"
นายประวิทย์ ยังให้ความคิดเห็นถึงการ ตั้งหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคตามกฎหมายใหม่ว่า จะมีหน่วยงานเดียวหรือสองหน่วยงานก็ได้ ขึ้นอยู่กับกสทช.จะมีแนวนโยบายอย่างไร ซึ่งน่าจะเป็นหน่วยงานเดียวเนื่องจากวันนี้เทคโนโลยีกับเรื่องของการให้ บริการนั้นได้หลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว ซึ่งจะทำให้การทำงานนั้นสะดวกและรวดเร็วขึ้น เพียงแต่อาจจะต้องมีการแยกผู้เชี่ยวชาญออกจากกัน ซึ่งความเชี่ยวชาญทางด้านโทรคมนาคมนั้น ทางสบท. ก็มีประสบการณ์มาแล้วพอสมควร จึงไม่ค่อยมีปัญหานักในการทำงาน แต่สำหรับกิจการวิทยุโทรทัศน์นั้น ยังไม่มีหน่วยงานที่เข้ามาดูแลเลย ซึ่งมีเรื่องต่างๆ จำนวนมาก เช่น รายละเอียดของเนื้อหารายการ
"เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการวิทยุโทรทัศน์นั้นจำเป็นที่จะ ต้องมีเรื่องของวิชาชีพเข้ามาสนับสนุน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการดำเนินการในเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กับการสรรหากสทช. ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร ถ้ามาตั้งตอนที่มีกสทช.แล้ว ก็จะไม่ทันการ"
ในกรณีที่จะแยกหน่วยงานคุ้มครองฯ นั้น ก็ไม่มีปัญหาแต่ประการใด เพียงแต่จะต้องมีการทำงานที่บูรณาการเข้าด้วยกัน และจะต้องมีเกตเวย์หรือจุดจัดการเรื่องร้องเรียนเป็นจุดเดียวกัน คือ สามารถรับเรื่องร้องเรียนได้ทุกเรื่อง ผู้บริโภคไม่ต้องเสียเวลาติดต่อหน่วยงานต่างๆ ให้ยุ่งยาก
"เรื่องร้องเรียนต่างๆ จะหมดไปกว่าครึ่ง หากมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมไปถึงการสร้างจิตสำนึกให้กับผู้ประกอบการอีกด้วย ที่สำคัญ ผู้บริโภคเองก็จะต้องส่งสัญญาณให้ผู้ประกอบการควบคู่ไปด้วย"
วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น